เทศน์บนศาลา

กิเลสทำลายตน

๒๓ ก.ย. ๒๕๔๖

 

กิเลสทำลายตน
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์บนศาลา วันที่ ๒๓ กันยายน ๒๕๔๖
ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เอ้า.. ตั้งใจฟังธรรม สบายเลย นั่งธรรมดา ฟังเสียงนั้นเรากำหนดไว้เฉยๆ กำหนดไว้กับตัวเรา แล้วเสียงนั้นจะเข้ามาหาใจเราเอง ถ้าเรากำหนดออกไปมันจะไปรับรู้ ตั้งใจ..

สิ่งต่างๆ ในโลกนี้มันก็เป็นเครื่องอยู่อาศัย โลกนี้เป็นอย่างนี้โดยดั้งเดิม เราจะเกิดมาหรือไม่เกิดมา สิ่งนี้มีอยู่แล้ว แล้วเราเกิดมาสภาวะเป็นแบบนี้ตลอดไป ถ้าไม่มีธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะไม่มีใครรู้เรื่องสิ่งนี้เลย เพราะสรรพสิ่งนี้เป็นธรรมชาติ ธรรมชาติส่วนหนึ่ง โลกเขามีอยู่นี้เป็นธรรมชาติ เราก็เป็นธรรมชาติส่วนหนึ่ง ชีวิตนี้การเกิด การตาย สภาวะแบบนี้เป็นธรรมชาติอันหนึ่ง

วิทยาศาสตร์ค้นคว้าขนาดไหนก็ค้นคว้าการเกิด การตาย ค้นคว้าเรื่องชีวิตเห็นไหม พยายามจะเข้าใจเรื่องชีวิต แต่เขาไม่เข้าใจเรื่องกรรม เขาไม่เข้าใจเรื่องความเป็นไปของสัตว์โลกที่เกิดตาย เกิดตาย ตามวัฏฏะโลกนี้

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิดขึ้นมาเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ แล้วออกเที่ยวในสวน เกิดมาก็มีแต่ความสุขความสบาย เพราะพ่อแม่พยายามจะรักษาไว้ เพื่อจะให้เป็นกษัตริย์ จะไม่ให้เห็นสิ่งใด เพราะพราหมณ์พยากรณ์เอาไว้ว่า “ถ้าออกบวชจะได้เป็นพระพุทธเจ้า ถ้าอยู่ในโลกนี้จะได้เป็นจักรพรรดิ”

พ่อแม่ทุกคนก็อยากจะให้ลูกมีเกียรติ มีความเป็นอยู่ทางสังคมที่เจริญ ความคิดของโลกคิดได้แค่นั้น คิดว่าลูกของเราควรอยู่กับเรา พ่อแม่รักษาไว้ให้มีความสุขนะ ปราสาท ๓ หลัง อยู่ในโลก พร้อมที่จะเป็นกษัตริย์ทั้งหมดเลย แต่ด้วยบุญกุศลที่สร้างมา สิ่งที่สร้างมา สร้างมาเพื่อจะให้ตรัสรู้ธรรมเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไปเที่ยวในสวน เห็นคนเกิด คนแก่ คนเจ็บ คนตาย

เห็นคนเกิด เห็นก็แปลกใจ ดูสิ ขนาดเลี้ยงไว้ไม่ให้เห็นว่าคนเกิด เกิดอย่างไร คนแก่ แก่อย่างไร คนเจ็บ เจ็บอย่างไร ยมทูตมาให้เห็นสภาวะแบบนั้น เจ้าชายสิทธัตถะสะเทือนใจมาก สะเทือนใจว่าโลกเป็นแบบนี้ไง ธรรมชาติเป็นแบบนี้ คนเกิด คนแก่ คนเจ็บ คนตาย แล้วมันสลดสังเวชเข้ามาถึงเรา เราก็ต้องเป็นแบบนี้เหรอ? ชีวิตของเราก็ต้องเป็นแบบนี้ มันก็ต้องเกิด ต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตาย ไปตามสภาวะของธรรมชาติอันหนึ่ง

มันสลดสังเวช แต่ความคิดว่ามันต้องมีสิ่งที่ตรงข้าม ถ้ามีเกิด ก็ต้องมีไม่เกิดได้ มีแก่ มีเจ็บ มีตาย ตายแล้วต้องไม่เกิดอีกเห็นไหม สิ่งนี้มันมีความตรงข้ามได้ สิ่งนี้มีอยู่มันต้องมีสิ่งที่ตรงข้าม เพราะมีสิ่งที่ตรงข้ามถึงได้คิดแสวงหา

“เราจะพ้นทุกข์ได้อย่างไร? เราจะพ้นจากการเกิดได้อย่างไร?”

การเกิดมานี้โดยธรรมชาติ กิเลสมันคุมหัวใจอยู่ กิเลสทำลายตนนะ กิเลสทำลายทุกอย่าง ทำลายเพื่อว่าให้คนอยู่ในสภาวะของธรรมชาติ

เราศึกษาธรรม เราก็ว่าสภาวะนี้ เราเข้าใจตามธรรมชาติ ธรรมชาติเป็นสิ่งที่มีอยู่แล้วโดยดั้งเดิม แต่เราอาศัยสิ่งนี้เป็นวัฏฏะ โลกนี้เจริญแล้วเสื่อม สิ่งที่เสื่อมไป เสื่อมไปถึงที่สุดแล้ว มันต้องฟื้นกลับมาถึงคราววาระของเขา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็มาเกิดตอนนี้ เกิดแล้วสภาวธรรม ธรรมชาติเป็นสภาวะแบบนั้น จะต้องเป็นไปตามสภาวธรรม ถ้าใจแสวงหาธรรมจะเจอสิ่งนี้

ออกประพฤติปฏิบัติ เวลาออกบวชทุกข์มากเพราะอะไร เพราะว่าเกิดมาแล้ว มีครอบครัว นางพิมพาเป็นภรรยา แล้วเวลาจะออกบวช ก็มีเกิดบุตร สามเณรราหุลเกิดเป็นบุตรขึ้นมา นี่โซ่คล้องใจนะ

คนเราเป็นคนดี คนเราหวังความดี คนที่ดีต้องมีความรับผิดชอบมาก สิ่งที่รับผิดชอบ สิ่งนี้มันเป็นภาระรับผิดชอบของเรา เราต้องสละออกไป นี่เรื่องของโลกเห็นไหม เรื่องของโลก เรื่องของสภาวธรรมตามธรรมชาติ ต้องให้คนรับผิดชอบ คนทำคุณงามความดีถึงจะเป็นคุณงามความดี แล้วคนที่ทิ้งออกไป ทิ้งสิ่งนี้ออกไป ทิ้งภาระอย่างนี้ออกไป เพื่อจะไปแสวงหาส่วนหนึ่ง แล้วมีความอาลัยอาวรณ์ ความทุกข์ความยากมันต้องอยู่ในหัวใจแน่นอน

สิ่งที่เราทิ้งมาไว้เบื้องหลัง มันก็เกาะเกี่ยวใจอยู่ตลอด มันเป็นความฝังใจอยู่ แล้วสิ่งที่เราต้องแสวงหาก็ยังไม่มีว่าจะไปได้เมื่อไหร่ ออกศึกษาเล่าเรียนกับผู้ที่เขาออกแสวงหามาก่อน มันก็ได้สภาวะความสงบของใจเท่านั้น ความสงบของใจ ใจมันสงบเข้ามาก็ว่าสิ่งนั้นเป็นธรรม เพราะไม่มีใครสร้างบารมีมาเท่ากับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะเป็นผู้ที่ตรัสรู้เอง สุดท้ายแล้ว จะไปประพฤติปฏิบัติทำให้มันเข้มงวดขนาดไหน มันก็ไม่สามารถชำระกิเลสได้ เพราะตามกระแสโลก ความคิดของโลก โลกเป็นแบบนั้น

กิเลสทำลายทุกอย่าง ทำลายแม้แต่ความคิด ความประพฤติปฏิบัติอันนั้น เพราะกิเลสมันก็มีอำนาจอยู่ แต่กิเลสจะไม่สามารถจะทำลายผู้ที่ว่ามีบารมีธรรมไง เราสร้างสมบารมีธรรมมา เราถึงได้สนใจศึกษาอย่างนี้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีบารมีธรรมมา ถึงต้องพยายามค้นคว้าด้วยตัวเอง ไม่เชื่อใครอีกแล้ว เราต้องหันกลับมาทำของเราเอง ถึงพ้นออกไปจากกิเลสได้

จากปฐมยาม เริ่มต้นจากความสงบของใจ ตั้งแต่อดอาหารมา ๔๙ วัน แล้วสิ่งนี้มันก็ไม่ถึงที่สุด มันเป็นไปไม่ได้ เพราะว่าอะไร เพราะไม่มีศาสนา เมื่อไม่มีศาสนา มันก็ไม่มีธรรม ไม่มีธรรมก็เป็นความคิดคาดหมายของผู้ที่มีกิเลสเหมือนกัน ก็เป็นการคาดหมายว่า เพราะคนเรากิน คนเราปรนเปรอความสุขให้ตัวเอง มันถึงว่าเป็นไปไม่ได้ ต้องพยายามอดอาหาร อดอาหารอดเฉยๆ อดเพราะว่าไม่มีปัญญา ไม่มีความคิด นั้นเป็นการอดแบบที่ว่าเจ้าชายสิทธัตถะอดมาแล้ว ถึงไม่เป็นประโยชน์

มันเป็นประโยชน์แต่ตรงที่ว่ามันเป็นความเข้มแข็งของใจ ทำให้มีกำลังขึ้นมา แต่ปัญญาไม่เกิด ไม่เป็นประโยชน์หมายถึงว่า มันไม่สามารถชำระกิเลสได้ จนย้อนกลับมา เริ่มฉันอาหารของนางสุชาดา นี่บุญกุศลอันยิ่งใหญ่ของนางสุชาดา สร้างสมมาเพื่อจะถวายทานที่เป็นประโยชน์มาก เพราะฉันข้าวของนางสุชาดาวันนั้น แล้วเริ่มอธิษฐานปฏิบัติไป ปฐมยาม บุพเพนิวาสานุสติญาณ ได้ความรู้ต่างๆ พอจิตมันสงบแล้วมันส่งออก มันรู้ไปว่าชาติก่อนที่จะมาเกิดเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ เกิดเป็นพระเวสสันดร ๑๐ ชาติ แล้วย้อนนับไปอีกมหาศาล ไปจนไม่มีที่สิ้นสุด

จะสาวให้มันสุดก็เข้าใจว่าการสาวไปแล้วมันจะเป็นผลงาน มันก็ไม่ใช่ ไม่ใช่เพราะอะไร เพราะย้อนกลับเข้ามาแล้วเราก็ยังเป็นเราอยู่เหมือนเดิม จนถึงมัชฌิมยาม จุตูปปาตญาณ เกิดญาณหยั่งรู้ออกไปข้างนอก หยั่งรู้ว่าสัตว์ตายแล้วไปเกิดที่ไหน สิ่งที่ตายแล้วไปเกิดที่ไหน อย่างนี้ก็ไม่ใช่ จนถึงที่สุดมัชฌิมยามถึงออกไป ถึงเกิดญาณหยั่งรู้ขึ้น อาสวักขยญาณเกิดขึ้น มรรคะรวมตัวไง นี่สมุจเฉทไง

สิ่งที่ส่งออกไปมันเป็นอดีต สิ่งที่คาดหมายไปข้างหน้าเป็นอนาคต อดีต-อนาคตนี้ ไม่ใช่การชำระกิเลส ย้อนกลับมาที่หัวใจ อาสวักขยญาณ เกิดขึ้นตรงหัวใจ ตรง “อวิชชา ปัจจยา สังขารา” ปัจจยาการส่วนหนึ่ง สิ่งนี้ย้อนกลับเข้ามาชำระกิเลสได้ สิ่งที่ชำระกิเลสได้เป็นธรรมอันสูงส่งมาก จากที่ว่ามีทุกข์อยู่ตลอดในหัวใจ ทุกข์จะปลดเปลื้องลงจากใจดวงนั้น ใจดวงนั้นจะมีความสุข วิมุตติสุขที่โลกนี้เขาไม่เจอกัน

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นเหมือนไข่ตัวแรกที่เจาะฟองออกมาจากอวิชชาได้ สิ่งนี้เป็นสิ่งธรรมะอันสูงสุด สูงสุดเพราะสิ่งนี้จะทำให้หัวใจสมความปรารถนา แล้วไม่ตกอยู่ในสิ่งที่ว่ากิเลสจะทำลายสิ่งนี้ได้เลย มีความสุขมากจนแทบว่าจะไม่สามารถที่จะสอนใครให้หยั่งรู้สิ่งนี้ได้เลย

แต่เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสร้างสมบารมีมา ก็เพื่อจะรื้อสัตว์ขนสัตว์ ถึงวางธรรมมา ถึงเป็นอำนาจวาสนาของเรา เพราะเราเกิดมาพบพระพุทธศาสนา สอนให้เราย้อนกลับ สอนให้เราเข้าใจตัวเราเอง เราจะหวังพึ่งสิ่งใด หวังพึ่งต่างๆ มันพึ่งกันได้ชั่วคราวเท่านั้น

โลกนี้อยู่กันเป็นสมมุติ เป็นวาระชั่วคราวต่างๆ หวังพึ่งสิ่งนั้นไม่ได้ ถ้าเราพบพุทธศาสนา แล้วเราอยากจะประพฤติปฏิบัติ อันนี้เป็นผลประโยชน์ เป็นสิ่งที่เป็นสาระคุณของชีวิต ชีวิตจะมีประโยชน์เพราะว่า เราใช้ชีวิตนี้แสวงหาอริยทรัพย์ภายใน ถ้าเราใช้ชีวิตนี้แสวงหาทรัพย์ภายนอก ทรัพย์ภายนอกนี้โลกเขาแสวงหากัน พยายามหาทรัพย์ภายนอก มันถึงไม่มีที่สิ้นสุด มันเป็นการหมุนเวียนไปในวัฏฏะ สิ่งนี้มันต้องหมุนเวียนไป ถ้าว่าจะไม่เป็นความสำคัญ มันก็เป็นการสำคัญในทางโลกเขา เพื่อเป็นปัจจัย ๔

คนจะร่ำรวยขนาดไหน แต่เวลาใช้สอยก็ใช้สอยในการกินอิ่มท้อง ในการเป็นอยู่ กินอิ่มนอนอุ่นเท่านั้น สิ่งที่เหลือนั้นเป็นสิ่งที่ส่วนเกิน ส่วนเกินของโลกเขาเป็นแบบนั้น ถ้าเราพยายามแสวงหาของเรา เราก็แสวงหาสิ่งนี้ขึ้นมา แสวงหาของเรามา ถ้าเราทำอำนาจวาสนามา เราทำสิ่งต่างๆ เราประกอบสิ่งต่างๆ จะประสบความสำเร็จ สิ่งที่ประสบความสำเร็จเป็นความสำเร็จของเรา เราก็มีความสุขของโลกเขา นั่นล่ะกิเลสทำลายตน

ทำลายเพราะ ทำลายโอกาสของเรา เราจะว่าสิ่งนี้เป็นผลประโยชน์ ความคิดตื้นๆไง ความคิดตื้นๆ คือเห็นเฉพาะด้วยสายตา สายตาความรู้สึกของกิเลส รู้สึกกันได้แค่นี้ คนเราเกิดมาแล้วสร้างสมบุญญาธิการมา ทำอะไรที่ประสบความสำเร็จ คนนั้นเป็นคนมีบุญ

“บุญ บาป” ทำให้ใจดวงนี้เวียนตายเวียนเกิดตามธรรมชาติของมัน นี่กิเลสทำลายตน ทำลายอย่างนั้น ทำลายให้เราไม่คิดออกแสวงหา ไม่คิดออกหาอริยทรัพย์ภายใน

ถ้าเราไม่แสวงหาอริยทรัพย์ภายใน เราก็ใช้ชีวิตของเราไปวันหนึ่งๆ เท่านั้น แต่ถ้าเราแสวงหาอริยทรัพย์ภายใน ขณะที่เราออกประพฤติปฏิบัติ เราออกบวช ถ้าเราออกบวช บวชมาเพื่ออะไร ก็บวชมาเพื่อจะแสวงหาสิ่งที่ว่าเราจะพ้นจากกิเลส คนอยู่ในโลกนะ เขาต้องใช้เวลาของเขา เขาต้องประกอบสัมมาอาชีวะของเขา เวลาของเขามีน้อย เพราะเรามีความตั้งใจ เรามีความจริงจังของเรา เราถึงออกประพฤติปฏิบัติ จนกระทั่งออกบวชเป็นพระ

ปัจจัย ๔ เครื่องอยู่อาศัยนี้ฝากไว้กับโลกเขาทั้งหมด สิ่งนั้นเขาแสวงบุญ เขาต้องการบุญของเขา เขาจะทำบุญกุศลของเขา แล้วผู้ที่ออกประพฤติปฏิบัติ ออกเป็นนักรบนี่ เราเป็นคนที่ประพฤติปฏิบัติ เป็นเนื้อนาบุญของโลก ใจของเราเป็นเนื้อนาบุญของเราขึ้นมาหรือยัง ถ้าใจของเราเป็นเนื้อนาบุญของโลก บุญกุศลของญาติโยมเขาจะมีมหาศาลเลย แต่ถ้าเรายังอาศัยสิ่งนี้เป็นประโยชน์ เขาก็ได้บุญเหมือนกัน แต่ได้บุญตามประสาว่าใจของเราสูงส่งขนาดไหน ใจของเราจะมีคุณงามความดีขนาดไหน ถ้ามีคุณงามความดีของเราขึ้นมา เราอาศัยสิ่งนั้นเพื่อประพฤติปฏิบัติ

เขาใส่บาตร เขาใส่สิ่งต่างๆ ขึ้นมา เป็นบุญกุศลของเขาแน่นอน แต่แน่นอนของเรา เราอาศัยสิ่งนั้นดำรงชีวิตแล้ว เราต้องพยายามแสวงหาของเรา ไม่ให้กิเลสทำลายตนไง ถ้ากิเลสทำลายตน เราจะนอนใจ สิ่งที่นอนใจนั้น กิเลสมันทำลายไปหมด ทำลายถึงการประพฤติปฏิบัติ ทำลายถึงความเป็นจริง ทำลายโอกาสของเราไง

คนเราเกิดมาต้องตายทั้งนั้น อนาคตของเราข้างหน้าต้องดับ สิ่งที่ดับ ถ้าเป็นโอกาสของเรา เราประพฤติปฏิบัติของเราขึ้นมา เราใช้โอกาส เราจะไม่ทำลายชีวิตของเราโดยสูญเปล่า ถ้าเราทำลายชีวิตของเราโดยสูญเปล่า เราจะเชื่อกิเลสมันพาไป สิ่งที่กิเลสพาไป มันอยากสะดวก อยากสบาย มันประพฤติปฏิบัติแบบกิเลส ถ้าประพฤติปฏิบัติแบบกิเลสมันก็คาด มันก็หมาย สิ่งที่คาดที่หมายไป มันเป็นเรื่องของกิเลสทำลายทั้งนั้นเลย มันจะทำลายแม้แต่เราจะประพฤติปฏิบัติ

เจ้าชายสิทธัตถะสร้างบารมีมา ๖ ปีที่ประพฤติปฏิบัติ มีกิเลสทำลายอยู่อย่างนั้น แล้วการประพฤติขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอุกฤษฏ์ขนาดไหน จะลำบากลำบนขนาดไหน ไม่มีใครทำเกินเท่ากับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ถึงสุดท้ายแล้วก็ต้องทำลายถึงที่สุดได้

เราก็เหมือนกัน ลูกศิษย์มีครูไง เอาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตั้งไว้เป็นครู แล้วเราต้องทำประพฤติปฏิบัติของเราตลอดไป ถ้าเราประพฤติปฏิบัติของเราไป อำนาจวาสนาจะเกิดมาตรงนี้ สิ่งที่อำนาจวาสนาของเราเกิดเพราะ เราเชื่อไง ถ้ามีศรัทธา มีความเชื่อ

ความเชื่อของเรามันแสวงหาไป เป็นความทุกข์ความยากแน่นอน การประพฤติปฏิบัติมันต้องเป็นความทุกข์ความยากอย่างแน่นอน เพราะเป็นงานไง งานเอาชนะตนเอง เวลากิเลสมันเกิดขึ้นมาจากใจ มันคิดของมัน มันปรารถนาของมัน มันต้องหาสิ่งนั้นมาประสบความพอใจของมัน มันถึงจะสงบตัวลง ผู้ที่ไม่เข้าใจก็วิ่งตามมันไป วิ่งตามสิ่งนี้ไปตลอดเลย เราต้องดับสิ่งนี้ให้ได้ก่อน ถ้าเราดับสิ่งนี้ให้ได้ กิเลสถึงจะไม่ทำลายในการประพฤติปฏิบัติของเรา เราถึงต้องมีความตั้งใจ ตั้งใจจริงๆ

คำบริกรรมของเราต้องเกิดขึ้น เราต้องกำหนดพุทโธ พุทโธขึ้นมา คำบริกรรมของเราจะเกิดขึ้นมา นี่อาหารใหม่ของใจ ใจมันกินตัณหาความทะยานอยาก มันมีความทะยานอยากในหัวใจ แล้วมันก็แสวงหามา เพื่อมัน เพื่อมัน นั่นล่ะกิเลสทำลายตน ทำลายอย่างนี้ ทำลายจนว่าเราเข้าใจว่าเป็นเรา ทุกคนถ้าเข้าใจว่าเราเป็นเรา คิดนะ เราคิดเราปรารถนา เราต้องการสิ่งที่ว่าสมประโยชน์ของเรา เราคิดว่าสิ่งนี้เป็นคุณกับเรา... ไม่เป็นคุณหรอก นี่กิเลสกลัวธรรม

สิ่งที่เป็นธรรม “พุทธานุสสติ ธรรมานุสสติ สังฆานุสสติ” ธรรมอันนี้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางไว้แล้ว วางให้เราก้าวเดินตามสภาวะแบบนี้ เราต้องเอาอาหารใหม่เข้าไปให้ใจของเรากิน ถ้าใจของเราได้กินอาหาร อาหารใหม่คือธรรม ถ้าธรรมเรากำหนดขึ้นมาได้ แต่กิเลสมันจะผลักไสไง มันจะไม่ต้องการสิ่งนี้ เพราะว่าสิ่งนี้มันไม่มีรสชาติ แต่ถ้ามันคิดของมัน ความโลภ ความโกรธ ความหลง มันจะมีรสชาติมาก มีรสชาติตามอำนาจของกิเลส พอมีรสชาติขึ้นมามันก็แสวงหาสิ่งนั้นขึ้นไป พอมันคิดออกไป มันก็จะมีการกระทำ

การประพฤติปฏิบัติมันต้องมีศีล เกิดศีลขึ้นมา ถ้ามีศีลขึ้นมา ศีลเราบังคับตัวเราเอง นี้เราพอใจเห็นไหม ถ้าเป็นฆราวาส ญาติโยม เขามีศีล ๕ ศีล ๑๐ ศีลของเขาไม่ละเอียดเหมือนพระ พื้นฐานของเขาแค่นั้น เขาก็ประพฤติปฏิบัติของเขาได้ แต่ถ้านักบวชของเรา เราบวชออกมา เราญัตติจตุตถกรรมออกมาเป็นพระโดยสมบูรณ์ ศีล ๒๒๗

ถ้าศีล ๒๒๗ มันกำหนดเข้ามา เราต้องซื่อสัตย์กับเรา ถ้าซื่อสัตย์กับเรา มันจะละเอียดเข้ามา มโนกรรมไง ความคิดของเรา คิดต่างๆ ออกไป มันคิดแล้วมันแสวงหา สิ่งที่ว่าแสวงหา ถ้ามันผิดศีล นี่ขอบเขตอย่างนั้น

เวลาเขาสร้างเขื่อนเพื่อจะเก็บกักน้ำไว้ใช้ประโยชน์ นั้นเพราะเรามีศีล ๒๒๗ มันก็เหมือนเขื่อนกำแพงนั้นกั้นไว้ ถ้าเรากั้นน้ำของเราขึ้นมา เราทำสัมมาสมาธิขึ้นมา เราทำแรงของเราขึ้นมา มันจะเกิดพลังงาน เกิดน้ำนั้นขึ้นมา แล้วเขื่อนเขาจะปล่อยน้ำใช้ออกมา มันจะเป็นประโยชน์ตลอดไป

แต่พวกคฤหัสถ์ญาติโยมเขาไม่สร้างเขื่อนของเขา เขามีเขื่อนของเขาแค่ศีล ๕ ศีล ๑๐ ของเขา เพราะว่าเขาใช้ชีวิตในโลกไง มันต้องสังคมไปประสาโลกของเขา มันจะเป็นสภาวะแบบนั้น กติกาของเขาก็น้อย ศีลของเขาก็น้อย เวลาทำสมาธิขึ้นมาก็สมาธิน้อย แต่ทำไมเขาประพฤติปฏิบัติ เขาถึงได้ผลของเขาล่ะ สิ่งที่ประพฤติปฏิบัติได้ผลของเขา เพราะเขามีความจงใจ เขามีความจริงจัง เราต่างหากนอนใจ

ถ้าเรามีเขื่อน เขื่อนของเราใหญ่มาก เราจะเก็บกักน้ำของเราได้มาก ถ้าเราเก็บกักน้ำของเราได้มาก เราต้องพยายามสร้างของเราขึ้นมาให้เกิดสัมมาสมาธิ เขื่อนของเราใหญ่ แต่เราไม่มีน้ำเลย หัวใจเราแห้งผาก เราจะเอาอะไรเป็นเครื่องอยู่ล่ะ มันก็ต้องมีความเร่าร้อนในหัวใจ ถ้ามีความเร่าร้อนในหัวใจ ทุกข์อันนั้นมันก็เกิดกับเรา ตนเป็นผู้รู้นะ “ปัจจัตตัง”

ทุกข์ก็เป็นปัจจัตตัง สุขก็เป็นปัจจัตตัง สิ่งที่เป็นปัจจัตตังคือมันเป็นความทุกข์อยู่ในหัวใจ แต่ถ้าคนเราทุจริต มันเป็นความทุกข์ในหัวใจ แต่มันเข้าใจว่าเป็นความสุข กิเลสมันทำลายตน มันทำลายตรงนี้ เวลาเราคิดของเราขึ้นมา เราปรารถนาของเราขึ้นมา มันเป็นการทุจริต มันไม่เป็นศีลเป็นธรรมขึ้นมา แต่เราพอใจ เราก็ทำตามอำนาจของกิเลส กิเลสมันก็ยิ่งพองตัว

เขื่อนจะแห้งผาก เขื่อนนั้นจะไม่มีน้ำขึ้นมาเลย ใจนั้นจะแห้งผากไป แล้วเราจะเปิดน้ำของเรา เขื่อนเวลาเขาปล่อยน้ำไปเป็นกาลเป็นเวลาเขาปั่นไฟได้ด้วย เขาให้น้ำนั้นไปใช้กับกสิกรรม ไปทำนาทำไร่ได้ด้วย เพราะมันเป็นประโยชน์ขึ้นมา แต่เวลาเราเปิดเขื่อนของเราขึ้นมา มันมีแต่ลม มันไม่มีน้ำออกมา แล้วมันก็มีความปรารถนา มีความต้องการ ไม่มีสิ่งที่ว่าเป็นประโยชน์กับใจขึ้นมา เพราะเราไม่สามารถทำความสงบของใจเราเข้ามาได้

ถ้าเราไม่สามารถทำความสงบของใจของเราเข้ามาได้ เราจะไม่มีน้ำไว้หล่อเลี้ยง เราจะไม่เกิดการกสิกรรม เราจะไม่เกิดพลังงานไฟฟ้าขึ้นมาจากหัวใจของเรา เพราะเขื่อนมันปั่นไฟด้วย เพราะเขื่อนนี้มันใช้ประโยชน์กับการกสิกรรมด้วย น้ำอันนั้นถึงเป็นประโยชน์ แล้วเขื่อนของเราถ้าเราทำไม่ดี ศีลของเราไม่บริสุทธิ์ เพราะเราไม่ซื่อสัตย์กับตัวเราเอง เราถึงสะสมสิ่งนั้นไว้เป็นภัยกับตัวเราเอง นี่กิเลสทำลายตน

ทำลายเรานะ ทั้งๆ ที่เราประพฤติปฏิบัติ เราจะทำเป็นจริงเป็นจังของเราขึ้นมา เราถึงไม่สมประโยชน์ ถ้าสมประโยชน์ มีศีลบริสุทธิ์เราทำของเรา ฟ้าร้องฝนมันต้องตก เวลาฟ้าร้องแล้วฝนมันไม่ตก เราทรงศีลทรงวินัยทรงธรรม คิดว่าเรามีวินัยเป็นเครื่องดำเนินของเรา แต่เราทำของเราไม่สมประโยชน์ของเราขึ้นมา แล้วบอกว่า “ธรรมะจะไม่ให้ผลกับเรา ธรรมะจะไม่ให้ผลกับเรา” เราประพฤติปฏิบัติธรรมแล้วไม่ได้ธรรมขึ้นมา ไม่ได้ธรรมเพราะเราไม่จริง ถ้าเราทำของเราไม่จริง ผลมันก็จะเป็นความไม่จริงของเรา

ถ้าเราทำความจริงของเรา “ธุดงควัตร” ศีล ๒๒๗ แล้วยังมีธุดงควัตรเพื่ออะไร ธุดงควัตร ๑๓ ฉันมื้อเดียว ใช้ผ้า ๓ ผืน ใช้ผ้าบังสุกุลเป็นวัตร ถือ ๓ ผืนเป็นวัตร ถือธุดงค์เป็นวัตร สิ่งที่เป็นวัตรเพราะต้องการขัดเกลากิเลส ขัดเกลากิเลสไม่ให้ทำลายตัวเราเอง มันทำลายตั้งแต่หยาบๆ นะ จากที่เริ่มต้นของเรา เราสร้างเขื่อน สร้างฝาย ขึ้นมาจะเก็บกักน้ำไว้เป็นประโยชน์กับเรา ถ้าเราทำสัมมาสมาธิได้ น้ำฝนนั้นจะมี ฝนนั้นตกลงมาจะกักเก็บไว้ในเขื่อนของเรา เราจะมีความร่มเย็นของเราเพราะอะไร เพราะเรามีสมบัติของเรา

สิ่งที่เราเปิดเขื่อนออกมา มันจะเป็นพลังงานไฟฟ้า มันจะเป็นการกสิกรรมต่างๆ มันจะได้ประโยชน์จากเรานี่แหละ ได้ประโยชน์จากหัวใจของเรา ธาตุ ๔ มันก็เหมือนกับกสิกรรม ดิน น้ำ ลม ไฟ อยู่ในธาตุ ๔ ของเรา แล้วขันธ์ ๕ ล่ะ พลังงานของความรู้สึกเห็นไหม พลังงานไฟฟ้านี่ มันจะชุ่มชื่นขึ้นมาในหัวใจ เพราะมันเกิดการเคลื่อนไหว มันเกิดการวิปัสสนา มันเกิดการจับต้องสิ่งต่างๆ จับต้องกายกับใจของเรา เพื่อประโยชน์กับเรา

เรื่องของโลกเขานะ ความเบียดเบียนของโลก ความต่างๆ ของโลก กระแสของกรรมมันมีมาโดยธรรมชาติของเขา สิ่งที่เบียดเบียนกันมา สิ่งที่ทำลายกันมา สิ่งที่ทิ่มตำกันมาทางโลกเขา นี่โลกธรรม ๘ สิ่งนั้นมีอยู่โดยดั้งเดิม ถ้าเราไปเกาะเกี่ยวกับสิ่งนั้น ใจเราส่งออก ถ้าใจเราส่งออก ไปยึดมั่นถือมั่นสิ่งนั้น ว่าสภาวะที่เรารู้เป็นธรรม เป็นธรรม จะเป็นการเผาลนตัวเองนะ เราจะไม่รู้ว่านี่กิเลสมันทำลายเรา ทำลายแบบหยาบๆ ให้เราไปยึดมั่นนะ ยึดความเห็นของเขา เขาก็เห็นตามกระแสโลกของเขา โดยธรรมชาติของเขา

ความเห็นของปุถุชนเป็นสภาวะแบบนั้น ความเห็นขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นผู้ที่สิ้นกิเลสแล้ว วางธรรมไว้ไง วางธรรมไว้ให้เราก้าวเดิน “ศีล สมาธิ ปัญญา” งานของนักรบ งานของผู้ที่จะประพฤติปฏิบัติ งานที่จะเอาหัวใจของเราพ้นออกไปจากกิเลส ถ้าหัวใจเราพ้นออกไปจากกิเลส เราต้องเดินตามกระแสธรรม สิ่งที่กระแสธรรมคือย้อนกลับมา ทำงานในหัวใจของเรา งานภายนอก งานของโลกเขา มันเกาะเกี่ยวโดยธรรมชาติของมัน ใจนี้มันเกาะเกี่ยวสิ่งนั้นเข้าไป มันถึงได้รับรู้สิ่งนั้น แล้วยึดสิ่งนั้นว่าเป็นความรู้ของมัน

เวลาธุดงค์เข้าไปในป่า อยู่ในป่าในเขา จะเห็นสภาวะของสัตว์มันก็กลัว เห็นเสือมันก็กลัว อยู่กับเสือมันก็กลัว อยู่กับอะไรทั้งคืนมันก็กลัว สิ่งที่กลัวมันยึดมั่นถือมั่นสิ่งนั้น มันสร้างภาพไง เวลาเกิดขึ้นมาเสือจะมาหรือไม่มา มันยังไม่รู้เลย แต่มันก็ว่าเสือจะมาสภาวะแบบนั้น เสือยืนอยู่ตรงนั้น มันสร้างภาพหลอกขึ้นมา เวลาเราพ้นออกมาจากโลก เวลาเราคลุกคลีกัน เราอยู่ในโลก มัน ยึดออกไปข้างนอก ยึดสิ่งนั้นเหมือนกัน เวลาเราเข้าป่าไม่มีสิ่งใด มันก็สร้างภาพหลอกตัวมันเอง มันเกิดขึ้นมาจากกิเลสทั้งนั้น

กิเลสในหัวใจของเรา เราประพฤติปฏิบัติเพื่อจะทำลายมัน มันกลับทำลายเรา ให้เราล้มลุกคลุกคลาน ให้เราไม่มีพลังงานในหัวใจ ถ้าในหัวใจของเราไม่มีพลังงาน มันก็ร้อนผากอยู่อย่างนั้น เราต้องพยายามสะสมของเราขึ้นมา คำบริกรรมนี้สำคัญมาก สำคัญว่าเราเดินพุทโธ อย่างนั้นน่ะ พุทโธไป ถ้ามันเป็นไปไม่ได้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนทำไม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางไว้ทำไม กำหนดคำบริกรรมนี่ “พุทธานุสสติ” ครูบาอาจารย์บอกเห็นไหม

“กำหนดพุทโธคำเดียวสะเทือนไป ๓ โลกธาตุ” เพราะอะไร พุทธะไง “ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน” มันรู้ไปในกระแสของโลก เพราะผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ใจดวงนี้มันจะรู้ไปหมด รู้เรื่องของวัฏฏะ เพราะว่าใจดวงนี้เคยเกิดเคยตาย มันถึงสะเทือนไง สะเทือน ๓ โลกธาตุเพราะมันสะเทือนหัวใจ แต่เรามันหยาบ

เวลานึกพุทโธ นึกคำสองคำมันก็หายไป แล้วตั้งขึ้นมาใหม่ สติขึ้นมาใหม่ มันถึงต้องมีสติขึ้นมา พยายามตั้งของเราขึ้นมา ตั้งให้เกิดพุทโธให้สืบต่อได้ สืบต่อเข้าไปเพราะความรู้สึกมันมี ใจของเรารู้สึกอยู่ แล้วก็ไม่มีสติสัมปชัญญะควบคุมมัน มันก็ไหลไปตามอำนาจ สร้างภาพขึ้นมาหลอก หลอกว่าที่นั้นมีเสือ ที่นั้นมีผี แล้วเราก็กลัวของเราเอง มันจุดไฟเผาตัวมันเองนะ ร้อนกับตัวมันเอง แล้วก็ตื่นกลัว

แต่ถ้ามันตื่นกลัว ถ้ามีสติ มันจะกลับมาคำบริกรรมพุทโธ ถ้าเรากลัว สิ่งนั้นเรากลัวอะไร ถ้ามันกลัวมันหาที่พึ่ง หาที่พึ่งแล้วย้อนกลับมาหาใจ กำหนดพุทโธ พุทโธ พุทโธ เข้ามาด้วยกลัวไง แล้วไม่มีที่พึ่งแล้วสลัดขึ้นมา เวลาเข้าป่าเป็นแบบนั้น นี่ธุดงควัตร

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางไว้ให้เราเดิน เดินขึ้นมาเพื่อจะค้นคว้าหาใจ ธุดงค์ที่ไหนก็แล้วแต่ มันก็ต้องค้นหาตนเอง สิ่งที่ค้นหาตนเองขึ้นมา เพื่อจะยกขึ้นวิปัสสนา ถ้าเกิดการวิปัสสนา เกิดการใคร่ครวญขึ้นมา นี้คือปัญญาญาณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ปัญญาอันนี้เกิดขึ้นมา เกิดขึ้นมาเพื่อจะชำระ เพื่อจะทำลายกิเลส ถ้าธรรมเกิดขึ้นมาในหัวใจ กิเลสมันเริ่มจะสงบตัวลง กิเลสถ้าไม่มีคำบริกรรม ไม่ใช้ปัญญาใคร่ครวญเข้าไป มันจะมีอำนาจมาก มันจะมีอำนาจในหัวใจของเรา แล้วทำให้หัวใจของเราคิดค้นออกไป ตามอำนาจของกิเลส มันจะคิดค้นนะ ปัญญามากขนาดไหน การศึกษาเล่าเรียนขึ้นมา กิเลสพาใช้ทั้งนั้น

ปัญญาทางโลก ปัญญาที่จะเอาชนะคะคานกัน ไม่เป็นประโยชน์หรอก เพราะอะไร มันสร้างเวรสร้างกรรมมาทั้งนั้น ถ้าเราชนะคะคานเขา เราชนะเขา นี่มันชนะขึ้นมาเห็นไหม พอชนะขึ้นมามันก็มีการพองตัว มันจองหองพองขนในหัวใจนั้น หัวใจนั้นจองหองพองขน แล้วเราก็สร้างกรรมตลอดไป มันจะสร้างกรรมนะ ผู้ที่แพ้มันต้องมีความเสียใจ มีความน้อยใจ โดยธรรมดาเลย ปัญญาอย่างนี้ คือปัญญาเราใช้กัน กิเลสพาใช้

ถ้ากิเลสพาใช้ปัญญาอย่างนี้ มันจะไม่เป็นประโยชน์กับตัวเอง แต่ถ้าเราต้องทำความสงบเห็นไหม สิ่งนี้จะต้องทำให้สงบตัวได้ ผู้ที่มีปัญญามาก ผู้ที่มีปัญญาใคร่ครวญมาก กำหนดคำบริกรรมพุทโธ พุทโธ มันก็จะไม่ลง มันมีความเครียด มันไม่สมความปรารถนา มันถึงต้องใช้ปัญญาอบรมสมาธิไง ถ้าใช้ปัญญาอบรมสมาธิ เราใช้สติของเราทันปัญญาออกไป ปัญญามันจะคิดไปอย่างไหน เราชนะใครก็แล้วแต่ เราก็ต้องตาย จะชนะความตายได้ไหม ไม่มีใครชนะความตายได้เลย

ตั้งแต่เกิดมา ตั้งแต่กษัตริย์ลงมาถึงคนทุกข์คนยากขนาดไหน เกิดมาก็ต้องตาย ทุคนเกิดมาแล้วต้องตาย แล้วตกอยู่ในอำนาจของกิเลสทั้งหมด กิเลสมันปิดตาเราไว้นะ ว่าใช้ปัญญาอย่างนี้จะเป็นประโยชน์ แล้วเราก็เพลินกับมัน เพลินกับความคิดอย่างนี้ ใช้ปัญญาอย่างนี้ออกไป เพลินออกไปตลอด มันก็เป็นเรื่องของกิเลสทั้งนั้นเลย

มันทำลายตั้งแต่การประพฤติปฏิบัติ ถ้ามันทำลายอย่างนี้ ธรรม-สภาวธรรมไม่เกิด ถ้าเราใช้ปัญญาใคร่ครวญไป เห็นสภาวธรรม คิดขนาดไหน มันคิดไปถึงที่สุดแล้วมันก็หยุดของมัน เราชนะขาดขนาดไหน เราจะชนะตลอดไปไหม เราไม่สามารถชนะความแก่ เราไม่สามารถชนะความตาย เราไม่สามารถได้ ความเจ็บปวดของเราร่างกายเวลาเจ็บไข้ได้ป่วยนะ เราถ้าอยู่ต่อไปมันเป็นเลือนรางของโลก

เวลาเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมา เราชนะมันได้ไหม ถ้าเรามีหลักของใจ เราพยายามตั้งสติ เราใช้คำบริกรรม นี่ธรรมโอสถ มันปล่อยวางได้จริงๆ โรคภัยไข้เจ็บจะหายได้ ถ้าเรามีหลักใจ ถ้าเราไม่มีหลักใจ เวลาเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมา เราจะวิตกทุกข์ร้อนไปกับมัน กายก็ป่วย ใจก็ป่วย เพราะใจวิตกทุกข์ร้อน สิ่งที่เกิด กายก็ป่วย ใจก็ป่วย ความเจ็บไข้นั้นก็จะรุนแรงขึ้นไป ๒ ชั้น ๓ ชั้น โหมกระหน่ำกันเข้าไป แต่ถ้าเราเจ็บไข้ได้ป่วย ใจเรามีหลัก กลับมาทำความสงบของใจ

เวลาใช้ความสงบเข้ามา เวลาจิตมันสงบขึ้นมา ไข้มันจะหายไป มันเป็นไปโดยที่ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติทำมา ครูบาอาจารย์อยู่ในป่าในเขา เวลาเจ็บไข้ได้ป่วย ไม่ต้องไปหาหมอ ไม่ต้องไปหาใคร ค้นคว้าหาดวงใจ ค้นคว้าหาธรรม เกิดธรรมขึ้นมา ธรรมโอสถจะเกิดขึ้นมาจากใจ แล้วจะรักษาสิ่งนี้หาย หายโดยที่หลักใจของเรา ถ้าไม่หายก็ตาย

สิ่งที่ไม่หายก็ตาย สละตายขึ้นไปแล้ว ถึงที่สุดก็ตาย ปล่อยให้มันตายไปเลย มันจะไม่ตาย มันหายโดยธรรมชาติของมัน เพราะเรามีหัวใจ เรามีความคิดค้นขึ้นมา ถ้ามันไม่หาย เราก็รื้อค้นเข้าไปในร่างกายของเรา ธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ มันเป็นที่อยู่ของความเจ็บไข้ได้ป่วย สิ่งนี้มันอยู่ที่ตรงไหน มันไม่มีหรอก มันอาศัยกันชั่วครั้งชั่วคราว

เวลาธรรมมันชำแรกเข้าไปในสภาวะของธาตุ ๔ ในความเจ็บไข้ได้ป่วย มันก็ปล่อย ถ้ามันชำแรกเข้าไปในเวทนา เจ็บไข้ได้ป่วย ทุกข์ยากแค่ไหน มันก็ปล่อย พอมันปล่อย พอปล่อยขึ้นมาโรคภัยนี่ พร้อมกับใจมันปล่อยขึ้นมา มีความสงบเข้ามาพร้อมกับสิ่งนั้นหายไป สิ่งนี้หายไป หายหมดเห็นไหม เจ็บไข้ได้ป่วยเราหายได้ แต่กิเลสในหัวใจมันไม่หาย สงบเข้ามาขนาดไหน กิเลสมันก็จะละเอียดเข้าไป ละเอียดเข้าไป สิ่งที่ละเอียดไง มันปกป้องไว้แล้วมันทำลายความหยั่ง เพราะเราไม่เห็นธาตุ ๔ เราไม่เห็นขันธ์ ๕

ถ้าเราไม่เห็นธาตุ ๔ ไม่เห็นขันธ์ ๕ เราก็ไม่เห็นหน้ากิเลส ถ้าเราไม่เห็นหน้ากิเลส เราก็ไม่สามารถชำระกิเลส เราทำความสงบของใจเข้ามาได้ น้ำเราเต็มเขื่อนเลย เวลาน้ำเราเต็มเขื่อน ถ้าเราไม่รู้จักใช้มัน เดี๋ยวมันก็เสื่อมไป ความสงบของใจ ใจเราสงบขนาดไหน เห็นไหมน้ำในเขื่อนมันระเหยไปได้ มันระเหยไปถ้าเราเก็บกักไว้ เราใช้ไม่เป็น มันก็ระเหยไปโดยธรรมชาติของมัน แล้วเราเปิดออกมา เราเปิดไม่เป็น มันก็ไหลออกไปตามธรรมชาติของมัน

จิตก็เหมือนกัน ถ้าเราสะสมขึ้นมาขนาดไหน เราสร้างได้ เราทำของเราขึ้นมาได้ ปัญญามันต้องเกิดด้วย เราก็มีปัญญาไง เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนเรื่องปัญญา ความดำริชอบ เราต้องดำริเข้ามาเพื่อค้นคว้าหากาย หาเวทนา หาจิต หาธรรม สิ่งนี้มันเป็นสติปัฏฐาน ๔ ถ้าจิตเราสงบขึ้นมา เราสร้างสมขึ้นมา เราฝึกฝนขึ้นมา เราทำให้เป็นนะ พอเราทำเป็น ก็เหมือนเราปล่อยน้ำออกมาจากเขื่อน เครื่องกำเนิดไฟฟ้าก็จะหมุนของมันไป ขันธ์ ๕ มันหมุนเป็นธรรมชาติของมัน

เวลาความคิดของเราเกิดขึ้นมา นั่นน่ะ ขันธ์มันหมุนออกไปแล้ว มันคิดออกไป มันถึงออกมาเป็นอารมณ์ความรู้สึก ปัญญาของเราต้องย้อนกลับไง ย้อนกลับเห็นความคิด มันยึดสิ่งใด เวลามันทุกข์ขึ้นมา “ทุกข์เกิดขึ้น ทุกข์ตั้งอยู่ แล้วทุกข์ต้องดับไป” สิ่งนี้มันเป็นไตรลักษณ์โดยธรรมชาติของมัน ถ้าทุกข์มันเป็นความจริงนะ ทุกข์มันเป็นวัตถุ มันเหมือนกับร่างกายของเรา เราเดินไปไหนมันก็มีกับเราตลอดไป

เราเคยทุกข์เคยยากสิ่งนั้นมันต้องแนบมาอยู่ในใจของเรา เวลามันทุกข์ขึ้นมา ใจมันไปยึดมันก็เกิด สิ่งที่ว่าความทุกข์มันเป็นอนัตตา มันหายไปแล้ว เวลาไปคิดขึ้นมา มันก็มีอีก มันมีอยู่ในใจ เพราะใจมันโง่ไง ใจมันไม่เข้าใจ ทั้งๆ ที่มันมีเครื่องมือพร้อมนะ มันทำความสงบของใจขึ้นมา มันสงบแล้วนะ มันควรจะเป็นประโยชน์กับมัน ถ้าเราไม่เข้าใจ เราจะติดไง ติดในความสงบ น้ำเต็มเขื่อนเลยนะ มีความร่มเย็นเป็นสุข มันพอใจกับสิ่งนั้น สิ่งนี้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปศึกษากับอาฬารดาบส มันก็มีอยู่แล้ว สิ่งนี้มีอยู่แล้วความสงบของใจนี่

ถ้าเราสร้างความสงบของใจเราขึ้นมาได้แล้ว เราต้องพยายามทำความชำนาญของเรา ถ้าเราชำนาญนะ เราพยายามรักษาของเรา มันจะทรงตัวอยู่ได้ พอทรงตัวอยู่ได้บ่อยครั้งเข้า บ่อยครั้งเข้า จิตสงบบ่อยครั้ง บ่อยครั้ง มันจะเป็นสมาธิ ถ้าเป็นสมาธิ เห็นไหม “สัมมาสมาธิ” สิ่งที่เป็นสัมมาสมาธิเราถึงจะควบคุมมันได้ ถ้าเรามีศีล ๒๒๗ โดยสมบูรณ์ เราทำความสงบของใจขึ้นมาโดยสมบูรณ์ มันก็เป็นสัมมาสมาธิ

แต่สมาธิที่เขาสร้างกัน บางที่มันเป็นมิจฉาไง สิ่งที่เป็นมิจฉาเหมือนมันลอยมา เวลาจิตสงบขึ้นมา แล้วมันก็เสื่อมไป สิ่งที่มันเสื่อมไป มันควบคุมไม่ได้ ถึงคนเราทำความสงบของใจ บางทีไพล่ไปมันตกภวังค์ยังไม่รู้ตัวก็มีนะ เวลามันกำหนดพุทโธ พุทโธเข้ามา พุทโธหาย ความรู้สึกนี้หายหมด จนสู่เป็นวาระหนึ่ง มีความรู้สึกตัวขึ้นมา เหมือนกับคนที่ว่านอนหลับแล้วตื่นขึ้นมา เหมือนอย่างนั้นเลย ถ้าเหมือนอย่างนั้น นั่นล่ะ เป็นภวังค์แน่นอน

สิ่งที่ว่าเป็นสัมมาสมาธิ เวลาจิตสงบเข้า สงบเข้ามา มันจะมีสติตลอด สติสัมปชัญญะจะมีตลอดไป ทุกวินาที ทุกความรู้สึกจิตมันจะสงบเข้ามามันจะรู้ตัวเข้าไปตลอด มีความร่มเย็นไปตลอด นั่นล่ะจิตสงบบ่อยครั้งเข้า บ่อยครั้งเข้า จนตั้งมั่นไง สิ่งนี้ตั้งมั่นขึ้นมาในหัวใจ แต่ถ้ามันสงบขึ้นมา พอเราทำความสงบเข้ามา แล้วเรารักษาไว้ไม่ได้ มันก็เสื่อมไป แล้วเราพยายามตั้งขึ้นมาให้ได้ ถ้าตั้งขึ้นมาให้ได้ ทำสิ่งนี้ ถ้าไม่มีสัมมาสมาธิ เราก็จะไม่มีปัญญา

สิ่งที่เป็นปัญญา ปัญญาเกิดขึ้นเห็นไหม ภาวนามยปัญญาจะเกิดขึ้นมาเพื่อต่อสู้กับกิเลส กิเลสทำลายการประพฤติปฏิบัติ มันจะทำลายตลอด ไม่ให้เราเจริญก้าวหน้าไปได้ คุณงามความดีของเรา เราคิดว่าเป็นคุณงามความดี แต่มันเป็นคุณงามความดีของกิเลสพาใช้ มันก็เวียนตายเวียนเกิด เวียนตายเวียนเกิดในโลกนี้ บุญกุศลที่เราสร้างสม เราติดดีไง นี่คนมีคุณงามความดี คนมีวาสนา สร้างบุญ สร้างกุศลเห็นไหม สร้างบุญสร้างกุศลตลอด มันก็เวียนตายเวียนเกิด

แต่ถ้าคนเรานี้เป็นบาปอกุศลในหัวใจ มันมีแต่เบียดเบียนคนอื่น สิ่งนั้นมันยิ่งแล้วไปเลย มันยิ่งสร้างบาปอกุศล มันยิ่งไปตามอำนาจของมัน นี่กิเลสทำให้ติดอย่างนั้น ถ้าปัญญาเราไม่สูงขึ้นมา ถ้าปัญญาเราสูงขึ้นมา มันมีสัมมาสมาธิขึ้นมา แล้วเราเห็นสิ่งที่ว่าแปลกประหลาดมหัศจรรย์

สิ่งที่แปลกประหลาดมหัศจรรย์คือ ธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ ร่างกายของเราเป็นสิ่งที่มหัศจรรย์มาก ทางวิทยาศาสตร์บอกเลย ร่างกายของมนุษย์มันเป็นความมหัศจรรย์ เพราะว่ามันเกิดมาจากแม่ เรื่องเซลล์ต่างๆ เรื่องเชื้อโรคต่างๆ เรื่องความเป็นไปของมัน เรื่องของมนุษย์ ทางวิทยาศาสตร์เขายังไม่เข้าใจว่ามันเกิดขึ้นมาได้อย่างไร มันตั้งอยู่ได้อย่างไร แล้วมันแปรสภาพไปอย่างไร จะเหนี่ยวรั้งไว้อีก นี่ความคิดของวิทยาศาสตร์เขาคิดได้อย่างนั้น นั่นมันก็เป็นความแปลกประหลาดของทางวิทยาศาสตร์

เวลาเราประพฤติปฏิบัติ มันเป็นเครื่องเทียบเคียง สิ่งที่เราเทียบเคียงให้มันเป็นปัญญา ถ้าเราคิดทางวิทยาศาสตร์ มันคิดอย่างนั้นขึ้นมา มันจะปล่อยวางเข้ามา ปล่อยวางเข้ามา ให้เห็นสภาวะใจ มันเห็นแล้วมันเข้าใจ มันซึ้งกับสิ่งที่มันคิด มันใช้ปัญญาหมุนเวียนออกไป มันจะปล่อยวางเข้ามา ปล่อยวางเข้ามา จนกว่ามันจะตั้งมั่นได้เหมือนกัน นี่ทางวิทยาศาสตร์คิดอย่างนั้น

เรื่องร่างกายของมนุษย์มันเป็นความมหัศจรรย์ แต่เวลาจิตมันสงบแล้วมันเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรม มันจะมหัศจรรย์กว่านั้นมากเลย มหัศจรรย์กว่านั้น เพราะเห็นตามสภาวะของธรรม ธรรมที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารื้อค้นขึ้นมา แล้ววางไว้ให้เราก้าวเดิน เราก็สามารถหยิบฉวยขึ้นมาติดขึ้นมาเป็นสมบัติของเรา เราจะเห็นสภาวะของกายที่มันเป็นขึ้นมา จะเป็นอวัยวะสิ่งใดก็ได้ เห็นกายทั้งกายก็ได้ ตั้งขึ้นมาแล้วมันจะอืด มันจะขึ้นอืดขนาดไหน ดูมันสิ ดูว่าความเป็นไปสภาวะแบบนั้น สภาวะที่เราเห็นตามความเป็นจริง เห็นตั้งแต่มีชีวิตอยู่นะ

คนเราตายไปแล้ว ร่างกายถึงจะเป็นแบบนั้น แต่เราไม่เห็น เวลาทางวิทยาศาสตร์เขาพิสูจน์กัน เขาก็พยายามพิสูจน์ในห้องทดลอง เขาก็เห็นสภาวะแบบนั้น แต่ปัญญาเราเวลาเกิดขึ้นมา มันจะเห็นภาพขึ้นมาจากภายใน มันจะตั้งสภาวะแบบนั้น เห็นแล้วมันจะสลดสังเวชเพราะอะไร เพราะมันสะเทือนถึงใจไง ใจมันสะเทือนสิ่งนี้มาก สะเทือนว่าสิ่งนี้มันสภาวะความเป็นจริง มันเป็นธรรม

แต่ของเรา ของเราคือของกิเลสที่มันยึดมั่นว่าสรรพสิ่งนี้เป็นเรา เป็นเราเห็นไหม ร่างกายนี้ก็เป็นเรา ของนี้ก็เป็นเรา สมบัติที่เราหาได้ก็เป็นของเรา แต่มันพลัดพรากไปทั้งหมด สิ่งที่พลัดพรากเพราะมันไม่เป็นของเรา ถ้าใจเรามีบุญกุศล ใจเราเป็นบุญ เราใช้สมบัติสิ่งนั้นเป็นประโยชน์ มันก็จะเป็นประโยชน์ แต่เวลาเราตายไป สมบัติสิ่งนั้นมันก็เป็นสมบัติโลก มันเป็นสมบัติกลางไง สิ่งนี้ใครมีปัญญาก็ค้นคว้าก็หาได้ทั้งนั้น ถ้าใครไม่มีปัญญาก็หาไม่ได้

คนทุกข์ คนยากเป็นสภาวะแบบนั้น คนมั่งมีศรีสุขมันก็เป็นสภาวะแบบนั้น แต่คนที่หยิบฉวยธรรมของเราขึ้นมาจากหัวใจสิ เห็นสภาวะตามความเป็นจริงมันจะสลด มันจะสะเทือนใจมาก สิ่งที่มันสะเทือนใจ ใจมันจะเริ่มปล่อยวางสิ่งนี้ ถ้ามันปล่อยวางสิ่งนี้ปัญญามันเกิดขึ้น มันวางสิ่งที่ว่าร่างกายที่เป็นความมหัศจรรย์ แล้วทรัพย์มันจะเกิด เกิดตรงนี้ไง

ทรัพย์ที่เป็นอริยทรัพย์ภายใน อริยทรัพย์ภายในคือปัญญาญาณมันเกิด สิ่งที่ปัญญาญาณมันเกิด มันรื้อค้นไง ค้นให้ใจ ค้นออกมาจาก ธาตุ ๔ และขันธ์ ๕

สิ่งที่เป็นธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ ยึดว่าเป็นเรา “สักกายทิฏฐิ” ทิฏฐิความเห็นผิดของใจ สิ่งนี้มันเห็นผิดมาตลอด ความเห็นผิดมันเป็นจิตใต้สำนึก เวลาเราคิดขึ้นมา ใช้ปัญญาของเราขึ้นมา มันเป็นปัญญาโดยขันธ์ สิ่งที่เป็นขันธ์หมุนออกไป มันเป็นปัญญาด้วยกิเลสพาใช้ แต่เวลาธรรมพาใช้ มันจะย้อนกลับเข้ามา จนเข้าไปให้จิตใต้สำนึกมันเห็นความรู้สึกอย่างนี้ แล้วมันสะเทือนใจสิ่งนี้มาก มันจะเริ่มปล่อยวางสิ่งนี้ สิ่งนี้มันเป็นสิ่งที่ว่ามันแปรสภาพ มันไม่ใช่ของเราโดยธรรมชาติของมัน เห็นเป็นปัจจุบันธรรมไง

สิ่งที่เป็นปัจจุบันธรรมเกิดขึ้นมาจากภายใน ปัญญามันเกิด เกิดอย่างนี้ หมุนออกไป หมุนออกไป พอมันปล่อย มันปล่อยวาง อย่าเผลอนะ นี่กิเลสทำลายตน ทำลายสิ่งที่ว่ามันจะเกิดเป็นอริยทรัพย์ ถ้าเราใคร่ครวญบ่อยครั้งเข้า บ่อยครั้งเข้า จนสอนจิต จนมันเห็นตามความเป็นจริง มันจะปล่อยสิ่งนี้ขาดออกไป ถ้าสิ่งนี้ขาดออกไป อริยทรัพย์ภายในเกิดขึ้นเป็นผลจริงๆ เป็นบุคคลที่ ๒ ในบุคคล ๘ จำพวก เกิดขึ้นมาจากใจ

แต่ถ้าเราพิจารณาของเรา กิเลสมันทำลายตน ทำลายผลงานของเราไง เวลามันปล่อยวางขึ้นมา เราก็เข้าใจ มันก็ว่างมาก มีความสุขมาก เข้าใจว่าอันนี้เป็นผล นั่นล่ะมันทำลายงานข้างหน้า เราจะติดสิ่งนี้ พอใจกับสิ่งนี้ เราจะนอนจมกับสิ่งนี้ แล้วมันจะเสื่อมสภาวะ จิตนี้มันไม่ถึงที่สุด อริยทรัพย์นี้ยังไม่สมบูรณ์ เป็นอกุปปธรรม มันเสื่อมสภาวะสิ่งนี้ได้ ถ้ามันเสื่อมสภาวะสิ่งนี้ออกไป พอมันเสื่อมไปแล้ว มันก็ถอยกรูดๆ ไป แล้วกิเลสมันจะพองตัวขึ้นมาใหญ่มาก จะประพฤติปฏิบัติอีกขึ้นมาให้จิตมันสงบ จะยกขึ้นวิปัสสนา มันจะทำได้ยากมาก

ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติจนถึงขนาดนี้ แล้วทำไม่ได้สมประโยชน์ของตัว แล้วพอไม่สมประโยชน์ของตัว ให้กิเลสทำลายตน ทำลายตนแบบหยาบๆ สิ่งนี้หยาบมาก เพราะถ้าประพฤติปฏิบัติมันหยาบไง เพราะเป็นบุคคลที่ ๑ และบุคคลที่ ๒

บุคคลที่ ๑ คือผู้ที่วิปัสสนามันจะเป็นโสดาปัตติมรรค มรรคะคือปัญญาญาณมันเกิด ปัญญาเกิดขึ้นมา แล้วเห็นธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ แยกแยะขึ้นไป มันเป็นงานของผู้ที่ว่าจะเดินขึ้นไปให้มันเป็นผลงาน ให้มันเป็นปัญญาญาณ สิ่งนี้เป็นประโยชน์ของใจมาก ผู้ที่จะทำลายกิเลสมันต้องเห็นปัญญาญาณ ปัญญาขนาดนี้ แล้วมันส่งเสริมขึ้นไป แยกแยะขึ้นไป ใช้ความใคร่ครวญ ใช้ปัญญาตลอดไป มันจะเกิดสภาวะแบบไหน เราจะมองตลอดไป

แต่ถ้ากิเลสมันทำลาย พอมันปล่อยวางขึ้นมา มันเชื่อไง ความเชื่อกิเลส เราเชื่อมันทุกภพทุกชาติ เราเชื่อกิเลสมาไม่มีต้น ไม่มีปลาย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าย้อนไปอดีตชาติไม่มีต้นไม่มีปลาย เราอยู่มากับกิเลสในหัวใจตลอดไป การประพฤติปฏิบัติ เวลาสภาวธรรมเกิดขึ้น ธรรมเกิดขึ้นในหัวใจ กิเลสมันสงบตัวลง เราทำขึ้นมามันก็เป็นผลงาน

แต่ถ้าเราทำขึ้นมา กิเลสมีอำนาจเหนือกว่า มันจะบิดเบือนสิ่งนี้ให้เป็นความผิดพลาด ให้เป็นมิจฉาไง เราเวลาปฏิบัติขึ้นมาเป็นมิจฉา มันเห็นสภาวะที่หมุนที่ผิดพลาดไป แล้วเราเชื่อมัน เราจะเสื่อมถอยไปจากสิ่งนี้ เพราะสิ่งนี้ยังเจริญแล้วเสื่อม

“สัพเพ ธัมมา อนัตตา” สภาวธรรมเจริญแล้วเสื่อม เจริญแล้วเสื่อม จนถึงอกุปปธรรม ถ้าถึงอกุปปธรรม มันจะขาดออกไปจากใจ เห็นไหม “ขันธ์เป็นขันธ์ จิตเป็นจิต ทุกข์เป็นทุกข์” จะแยกออกจากกัน สิ่งนี้ถ้าแยกออกจากกันได้ สิ่งนั้นจะไม่เสื่อม สิ่งที่มันเสื่อมได้ มันเสื่อมโดยสภาวะของมัน มันเสื่อมโดยธรรมชาติของมัน มันเสื่อมได้ เพราะเรายังไม่ถึงจุดหมาย

ถ้าเราถึงจุดหมาย สิ่งที่เสื่อมได้ มันก็ต้องเสื่อมไม่ได้ สิ่งที่เสื่อมไม่ได้ มันต้องมีฝ่ายตรงข้ามตลอดไป แบบที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเห็นการเกิด การตาย มันต้องมีฝ่ายตรงข้าม ไม่เกิด ไม่ตาย สภาวะแบบนี้ก็มีเหมือนกัน มันต้องมีสิ่งตรงข้าม แต่เราอยู่ในอำนาจของกิเลส เราเชื่อกิเลส เราก็เสื่อมไปถอยไป ถ้าเราเสื่อมไปถอยไป เราไม่ฟื้นฟูตัวเราเองขึ้นมา เราจะทำสภาวะแบบไหน

ในเมื่อมันเสื่อม มันก็เสื่อมไปโดยอำนาจของกิเลสที่มันมีเหนือเรา แต่สภาวธรรมที่เราเกิดขึ้นมา ความสงบของใจ ความรู้สึกทุกข์ มันเป็นธรรมชาติอยู่แล้ว สิ่งนี้มีอยู่ ความรู้สึกมีอยู่ สภาวะที่มีอยู่มันเกิดจากความรู้สึกของใจ ทุกข์มันก็เกิดได้ เวลามันไม่ทุกข์มันก็ต้องเกิดได้ ในเมื่อมีใจอยู่เราต้องคลายหัวใจนี้ก้าวเดินต่อไป เราต้องพยายามฟื้นฟูของเราขึ้นมา เราต้องทำได้ สิ่งที่ทำได้มันมีอยู่ โอกาสมีอยู่ ทำไมเราไม่ฉวยโอกาสอันนี้ไว้ เราต้องพลิกปัญญาของเราสิ ปัญญาของเรา เราเชื่อกิเลสให้มันมีอำนาจเหนือเรา แล้วเราก็ล้มลุกคลุกคลานกับมันมาตลอดนะ

การเกิดและการตายในโลกวัฏฏะ มันก็มีอำนาจเหนือเรามาตลอด แล้วในปัจจุบันนี้ เรายังมีชีวิตอยู่ เราเป็นนักบวช เราเป็นนักรบ เราต้องรบกับกิเลส แล้วทำไมเราไม่ฟื้นฟูขึ้นมา ถ้าเราฟื้นฟูขึ้นมา เราจะก้าวเดินขึ้นมาถึงตรงนี้ได้ แล้วถึงที่สุด บึกบึนไป อดทนไป มีความอดทน มีความขยันหมั่นเพียร สิ่งที่ขยันหมั่นเพียร งานของโลกเห็นไหม เขาทำของเขาแล้ว

เศรษฐี มหาเศรษฐีของโลก เป็นหมื่นๆ ล้าน แสนๆ ล้าน เขาใช้แค่ปัจจัย ๔ เท่านั้นหรอก สิ่งนี้มันต้องเป็นสมบัติของโลก เขาต้องทิ้งไว้เป็นสมบัติของโลก เขาใช้ของเขาไม่หมดหรอก มันต้องเป็นสมบัติของโลก เขายังแสวงหา เขายังมีความจงใจทำ แล้วนี้เป็นสมบัติอริยทรัพย์ของเราจากภายใน มันจะทุกข์จะร้อนขนาดไหน มันก็ทำไป เพราะชีวิตนี้มีอยู่ งานอย่างนี้คืองานของนักรบไง งานอย่างนี้คืองานของนักบวชไง

งานของนักบวชคือการนั่งสมาธิภาวนาในทางจงกรม สิ่งที่ทางจงกรมมีอยู่ เราเดินของเราไป องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วก็จะทำพุทธกิจ ๕ ก็ต้องอาศัยความสงบของใจ อาศัยสิ่งนี้ทำอยู่

พระจักขุบาลเวลาสำเร็จแล้วเป็นพระอรหันต์ เขายังเดินจงกรมอยู่ ยังเดินจงกรมอยู่เพราะอะไร เพราะให้สิ่งนี้มันเป็นเครื่องเยียวยา ให้ธาตุขันธ์มันแยกกันอยู่ด้วยความสุขสบาย มันเป็นวิหารธรรมไง ผู้ที่สิ้นกิเลสแล้วเขาก็ยังเดินจงกรม เขาก็ยังทำความเพียรของเขาอยู่เพื่อจะเป็นวิหารธรรม

อย่างของเรา ถ้าจิตของเราเสื่อม เราก็ต้องพยายามยกหนุนของเราขึ้นมา ทำของเราขึ้นมา ทำของเราเพราะเรายังมีกิเลสอยู่ เราต้องมีความจงใจ เราต้องมีความมุมานะ เพื่อจะชำระกิเลส พระอรหันต์ ท่านยังทำความเพียรของท่าน จนกว่าชีวิตจะหาไม่ แล้วทำไมเรามีกิเลสอยู่ ทำไมมันเสื่อมไป มันเสื่อมไปเพราะอำนาจของกิเลส กิเลสทำลายตน ทำลายความเพียรของเรา ทำลายผลงานของเรา ทำลายธรรมที่จะเกิดขึ้นจากในหัวใจของเรา

ในเมื่อมันทำลาย กิเลสก็คือเรา เราก็คือกิเลส มันเป็นอันเดียวกันที่ทำลายหัวใจของเรา ทำไมเราจะฝืนไม่ได้ล่ะ ถ้าเราฝืนได้เราก็ต้องเริ่มต้นฟื้นฟูมันขึ้นมา ฟื้นฟูมันใหม่ ทำถึงที่สุด ทำของเราไป มันจะเจริญงอกงามต่อขึ้นมาได้ เราก็ต้องพยายามรักษา

การรักษาผลงานของเรา ผลงานที่เกิดขึ้น ถ้ามันเจริญแล้วเสื่อม มันเป็นคติกับใจไง ว่าสิ่งนี้ไม่มีใครทำของเราหรอก กิเลสของเรามันทำลายของเราเอง เราต้องพยายามรักษาธรรม คือตั้งสติ ธรรมคือสติ คือสมาธิ คือความสงบของใจ แล้วยกขึ้นวิปัสสนาเข้าไปอย่างเก่า มันก็จะไปแยกแยะอย่างนั้น จนถึงที่สุดมันปล่อย.. ปล่อย.. ปล่อยแล้วเห็นไหม พอมันปล่อย เพราะเราเคยเสื่อมแล้ว เราก็จะไม่นอนใจ แล้วเราก็จับสิ่งนั้นแยกไปเรื่อย

ถ้าสิ่งใดจับต้องได้ จับได้ดูได้ จับต้องมันเกิดขึ้นมาได้ นั้นคือกิเลสมันยังอาศัยสิ่งนั้นอยู่ ถ้าเราจับต้องทำลายมัน ปล่อยวาง ปล่อยวาง จนถึงที่สุด ขาด! พอขาดแล้วมันจับต้องไม่ได้หรอก มันไม่มี สิ่งนี้ขาดออกไป กิเลสจะหลุดออกไปจากใจ พอหลุดออกไปจากใจ เป็นอกุปปธรรม สภาวะแบบนี้จะไม่เสื่อมอีกเด็ดขาด ใจจะไม่เสื่อม จะมีอย่างนี้คงที่ไปตลอด นี่กิเลสอย่างหยาบมันทำลาย เราฆ่ากิเลสได้ สภาวธรรมของเราทำลายกิเลสได้

สิ่งที่ทำลายกิเลสได้ เรามีความสุข แต่กิเลสมันเหนือกว่ามันก็ยังมีอยู่ ทุกข์อันละเอียด สุขอันละเอียด อยู่ข้างหน้าขึ้นไป เราถึงต้องยกขึ้นวิปัสสนาขึ้นไปบ่อยครั้งเข้า กิเลสอย่างหยาบทำลายเรา จนเราสามารถสร้างสมบุญญาธิการขึ้นมา สร้างสมธรรมของเรา บุญญาธิการคือกำลังใจ

สิ่งที่เกิดขึ้นมาคือมรรค มรรคอริยสัจจัง เกิดขึ้นมาจากตามความเป็นจริง มรรคอริยสัจจังเกิดขึ้นจากความเป็นจริง ความดำริชอบ การงานชอบ ความเพียรชอบ ปัญญาเกิดขึ้น เกิดขึ้นตามความเป็นจริง จนรวมตัวกัน ภาวนามยปัญญาถึงมัชฌิมาปฏิปทา ทำลายกัน สิ่งนี้เกิดขึ้นมาจากเรา เราสร้างสมขึ้นมาอย่างนั้น ทุกข์อย่างละเอียดมันมีอยู่ เราก็ต้องก้าวเดินขึ้นไปอย่างนี้ อันนี้มันเป็นสิ่งที่ว่าเราทำของเราขึ้นมาเป็น เราทำงานเป็น

ผู้ที่มีหลักของใจจะทำงานเป็น ถ้าทำงานเป็นขึ้นมา ยกขึ้นวิปัสสนา ทำความสงบของใจแล้วยกขึ้นวิปัสสนา นี่กิเลสมันทำลายในละเอียด มันก็ทำลาย สิ่งที่ทำลายคือจะไม่สมประโยชน์ไปตลอด ขนาดว่าทำมีหลักของใจแล้ว มันก็จะไม่ให้สมประโยชน์นะ มันมีการคาดการหมาย สิ่งที่คาดที่หมายเพราะผลประโยชน์ ผลจากที่เราประพฤติปฏิบัติมา เป็นปัจจัตตัง

เรารู้ของเราขึ้นมา สภาวะแบบนี้มันจะเป็นธรรม ถ้าสภาวะเราเผลอ มันจะเสื่อมสภาวะ นี้ก็เหมือนกัน พอเราขึ้นไปถึงข้างบน สูงขึ้นไป พอเราประพฤติปฏิบัติขึ้นไป “มันก็ต้องทำอย่างนั้นๆ” เป็นการคาดการหมาย สิ่งที่การคาดการหมายมันไม่สมควรแก่ธรรมหรอก สิ่งที่เป็นความหยาบ งานของหยาบเห็นไหมมันก็ใช้เครื่องมือหยาบๆ สิ่งที่ละเอียดขึ้นไป เครื่องมือมันต้องละเอียดขึ้นไป สิ่งที่ละเอียดขึ้นไป สภาวะของกิเลสมันละเอียดขึ้นไป มันกิเลส มันมีสิ่งเย้ายวน สิ่งล่อลวงที่ละเอียดกว่านั้น เราถึงต้องไม่คาดไม่หมาย ทำไปตามความเป็นจริงสภาวะแบบนั้น

หมั่นคราด หมั่นไถ สภาวะของกายนอก กายใน จับต้องได้แล้วแยกออกไป สิ่งที่แยกออกไป แยกออกด้วยปัญญา ไม่ใช่ว่า ถ้าคาดหมายสภาวธรรม เราต้องทิ้ง เราต้องทำลายสิ่งนี้ เราถึงทำลาย สิ่งที่ทำลายมันไม่มีปัญญาเข้าไปใคร่ครวญ มันจะทำลายสิ่งใด ถ้ามีปัญญาเข้าไปใคร่ครวญ มันเห็นโทษไง พอเห็นโทษมันก็แปรสภาพ

การทำลายคือมันแปรสภาพโดยสภาวธรรมของมัน กำลังมันพอ มันถึงจะเป็นสภาวะแบบนั้น ถ้ากำลังไม่พอ มันทำลายไม่ได้หรอก มันขวางอยู่อย่างนั้น แล้วเราก็ถอยกรูดๆ ถอยกรูดๆ คือทำไม่ได้ไง ทำไม่ได้มันก็ท้อแท้อ่อนแอ ถ้าท้อแท้อ่อนแอก็ล้มลุกคลุกคลาน ต้องสร้างกำลังใจของเราขึ้นมา แล้วกลับมาทำความสงบของใจ เข้าไปแยกแยะใหม่ ทำบ่อยครั้งเข้า บ่อยครั้งเข้า ถึงที่สุดแล้ว มันจะทำลายกัน

สภาวะทำลายกิเลส ทำลายอย่างนี้ กิเลสทำลายหัวใจ ทำลายแล้วมีความทุกข์ยาก ถ้าธรรมทำลายกิเลส จะมีความสุขมาก มีความสุขนะ ปล่อยวาง ปล่อยขาดออกไป “กายเป็นกาย จิตเป็นจิต” จะเวิ้งว้างมาก จะมีความสุขของมัน สภาวธรรมเป็นเครื่องหล่อเลี้ยงใจ ถ้าใจมีสภาวธรรมจะมีความสุขของใจ ความสุขของใจเห็นไหม เวลาทุกข์ เวลาร้อน เราก็รู้อยู่ ทุกข์นี้เป็นอริยสัจ ความสุขนี้ก็เป็นอริยสัจ มันออกมาจากอริยสัจไง นิโรธะความดับทุกข์ทั้งหมด ความสุขอย่างนี้ นิโรธะความดับ มันไม่ใช่เวทนา ไม่ใช่สุขทุกข์ในเวทนา ดับหมด สิ่งที่ดับหมดมีความสุขมาก สิ่งนี้พ้นขึ้นไปแล้วจะติดในความสุขนั้น

เวลาจิตกับกายแยกออกไปจะติดอยู่บนความสุขนั้น ติดมาก นี่กิเลสอันละเอียดเห็นไหม มันก็ทำลายสิ่งที่ละเอียดอยู่อย่างนี้ ทำลายไม่ให้เราก้าวเดินขึ้นไป เราก็ล้มลุกคลุกคลานของเรา เราทำของเราไม่เป็น มันจะติดอยู่ในความสุขนั้น ถ้าครูบาอาจารย์เคาะออก ถ้าฝึกขณะให้ออกมาให้ค้นคว้า พยายามตั้งความสงบของเราขึ้นมา สงบลงไปเห็นไหม ค้นคว้าขึ้นไป จะเข้าไปเห็นสภาวะของกามราคะ

สิ่งที่เป็นกามราคะคือความพอใจ ใจดวงนั้นเป็นกามทั้งดวงอยู่แล้ว แล้วมันพอใจในตัวมันเอง เราถึงไม่เห็นกามราคะ ถ้าเราย้อนกลับขึ้นมา สภาวธรรมเกิดขึ้นมา มันจะทำลายกิเลสเห็นไหม ทำลายการปิดบังของกิเลส กิเลสมันปิดบังใจดวงนี้ ไม่ให้เห็นหน้าตาของกิเลส ถ้าเราไม่เห็นหน้าตาของมัน เราจะไปค้นคว้าอย่างไร เราไม่เข้าใจว่าคนทำความผิดกับเราอยู่ที่ไหน เราจะไปทำความผิดอย่างไร เวลาเราคิดผิดเราก็ไม่รู้ เวลาเราคิดถูกเราก็ไม่รู้ เราต้องเสี่ยง

คนทำงานเสี่ยงไปอีกหน้า ผิดถูกไม่รู้ ไม่รู้ตลอดไป แต่ถ้ามันไม่รู้ เราจะเป็นความให้รู้แจ้งไม่ได้ เราต้องเห็นหน้ากิเลส เราต้องเห็นใจของเรา ถ้าเราจับใจของเราได้ ความพอใจคือกามราคะ สิ่งที่เป็นกามราคะเพราะมันฝังใจอยู่ นี่แยกแยะสิ่งนี้ ปัญญาต้องใคร่ครวญสิ่งนี้

สิ่งนี้ถ้าเป็นอสุภะ สภาวะของอสุภะมันเกิดขึ้นมา สิ่งนี้เป็นอสุภะ มันจะเห็นอสุภะ แล้วเราจะทำลายมัน ทำลายอย่างไร เราต้องดูสภาวะของมัน มันจะเป็นสภาวะแบบใด ดูของมันแล้ว มันไม่สวย ไม่งาม มันเป็นความที่ว่ามันเป็นความสลดสังเวช มันเป็นความที่ว่าเป็นความทุกข์ใจ สิ่งนี้มันติดอยู่สิ่งนี้ เพราะมันติดตัวมันเอง มันถึงติดสภาวะแบบนั้น สภาวธรรมเกิดขึ้นมันถึงเป็นอสุภะ สิ่งที่เป็นอสุภะคือว่ามันไม่สวย ไม่งาม มันเป็นสิ่งที่ไม่ควรแสวงหา มันเป็นสิ่งที่ว่าหลอกลวงโลก

ความสะอาดของกาย ความปิดป้องของกายอย่างนั้นเป็นความสวยงาม ความพอใจ มันปิดป้องไว้มันถึงปิด แต่ถ้ามันเห็นเป็นอสุภะ นั่นคือสภาวธรรม ถ้าสภาวธรรมมันเกิดขึ้นมาอย่างนี้ มันจะเริ่มปล่อยวาง ปล่อยวาง ความที่ว่ามันปล่อยวาง ดึงมันเข้ามาถึงที่สุดแล้วต้องย้อนกลับมา มันจะน้อมกลับมาถึงในหัวใจ ถ้ามาถึงในหัวใจมันก็ปล่อย ถ้ามันปล่อย ปล่อย มันถึงที่สุดแล้วมันต้องขาด

พิจารณาจิตก็เหมือนกัน สิ่งนี้มันเป็นกามราคะ มันเป็นกามราคะในหัวใจ นี่ความพอใจของมัน มันละเอียดอ่อนมาก จากความรู้สึกภายนอก พิจารณาเข้าไปถึงที่สุดแล้ว ตัวมันเองต่างหากเป็นความรู้สึก ตัวมันเองต่างหากเป็นพอใจ ตัวมันเองมันถึงเป็นฐาน มันถึงเป็นฐานเกาะเกี่ยว เกาะเกี่ยวออกไปทั้งหมด เกาะเกี่ยวกับความรู้สึกไปทั้งหมด ทำลายตรงนี้ไง ถึงที่สุดแล้วมันมีสิ่งที่ว่ากิเลสมันจะทำลายหัวใจ มันจะสร้างภาพความเป็นไปให้เห็นสภาวะว่าง เป็นสภาวะความเป็นจริง

สภาวะว่างขนาดไหน เพราะกิเลสอันละเอียด สิ่งที่ละเอียดมันทำลายขนาดนั้นนะ แต่ถ้าว่าสภาวธรรมเกิดขึ้น มันปล่อยวาง นั้นคือการต่อสู้กันไง ระหว่างธรรมกับกิเลสมันต่อสู้กัน ภายในมันจะมีความต่อสู้อันละเอียดมาก นั้นเป็นงาน ถ้าเราไม่มีงาน เราแสวงหาสิ่งนี้ไม่ได้ การประพฤติปฏิบัติเหมือนกับไม่มีสิ่งใดกระทำนะ แต่ถ้าคนประพฤติปฏิบัติ มันจะต้องสงวนเวลามาก แม้แต่บิณฑบาต มันก็ใช้ปัญญาใคร่ครวญไปตลอด มันเป็นงานไปตลอด จะทำสิ่งใดมันก็เป็นงาน มันต้องสงวนเวลามาก มันต้องการเวลาเพื่อเป็นการต่อสู้กันไง

ถ้าสิ่งนี้ต่อสู้กัน คลุกเคล้าตลอดเวลาในหัวใจนี่ มันจะต่อสู้กันตลอด จนมันเป็นงานของเราถึงที่สุด ถึงที่สุดแล้วมันปล่อยวางกัน จนทำลายกันในหัวใจนะ นี่กามราคะขาดในหัวใจ หมดออกไป สิ่งนี้ธรรมทำลายออกไปจากใจ ทำลายกิเลสอันละเอียดออกไปจากใจ แล้วมันไปถึงที่ไหนล่ะ ใจมันก็เป็นส่วนหนึ่ง แต่ถ้าผู้ประพฤติปฏิบัติมันจะเวิ้งว้าง มันจะไม่เห็นสภาวะแบบนั้น นี่สิ่งที่ละเอียด

กิเลสอันละเอียดมันทำลายตน ทำลายตนทำลายตรงนี้ ตน.. ตัวตนคือตรงตัวใจปฏิสนธิ ใจตัวนี้มันตัวตายตัวเกิด มันปล่อยกิเลสอย่างหยาบๆ เข้ามา มันก็ต้องไปเกิดบนพรหมโดยธรรมชาติของมัน นี่กิเลสทำลายตน ตนถึงมืดบอดไง ว่างหมด สว่างไสว เวลาเราพิจารณาเข้าไป ผู้ที่ปฏิบัติถึงตรงนี้เวลาจิตสงบเข้าไปมันสว่างไสว มันเวิ้งว้างไปหมด ว่างหมดเลย นี่ว่างหมด แต่ความอาลัยอาวรณ์ ความติด ความทุกข์อันละเอียดมันไม่เห็น สิ่งที่เห็นมันทำลายตนอย่างนั้น

เราพิจารณาเข้าไป ถ้าเราพิจารณา เรามีอำนาจวาสนา ครูบาอาจารย์ชี้นำขึ้นมา ย้อนกลับเข้าไปตรงนั้น ถ้าย้อนกลับเข้าไปตรงนั้น นั้นคือจับตัวตนได้ ตัวตนอันละเอียดในหัวใจ ตัวตนคือตัวอวิชชา สิ่งนี้ซับซ้อนมาก อยู่ในหัวใจของเรา นี่กิเลสทำลายตน ทำลายถึงตรงนั้นนะ แล้วเราจับสิ่งนั้นได้

การค้นคว้า การจับงานได้ การหากิเลสได้ มันถึงเป็นงาน ถ้าเราค้นคว้าไม่ได้ กิเลสมันจะหลอก มันพลิกแพลงนะ เห็นสภาวะแบบนั้นแล้วเราทำลายมัน เพราะอะไร เพราะเราฟังจากครูบาอาจารย์มาไง ถ้าเราฟังจากครูบาอาจารย์มา มรรค ๔ ผล ๔ เราต้องทำลายถึง ๔ หน มันถึงจะเป็นได้ ทำลายอย่างนั้น

มันสร้างสถานะขึ้นมา สร้างภาพเหมือนขึ้นมา แล้วกิเลสมันจะทำลายการประพฤติปฏิบัติตั้งแต่เริ่มต้นขึ้นมา เป็นสัญญาทั้งหมดเลย แล้วเราก็ว่าง ว่างด้วยสภาวะของใจ เพราะใจเป็นนามธรรม มันจะทำความว่างอย่างไรก็ได้ กิเลสมันทำลายอย่างนั้น แต่ถ้าเราจับตรงนี้ได้ มันจะมีความตื่นเต้นนะ ความตื่นเต้นคือการจับงานได้ มันถึงรู้ไงว่า การค้นคว้า การหางานมันเป็นงานอย่างหนึ่ง การวิปัสสนาเป็นงานอย่างหนึ่ง ถ้ามีเหตุมีผลครบขึ้นมา มันจะทำลายออกไป นี่สภาวธรรมอันละเอียด

อรหัตตมรรคทำลายตน จะทำลายตนได้ต้องเป็นอรหัตตมรรค มันจะไม่มีความรู้สึกของเรา มันจะเข้าไป ละเอียดอ่อนมาก ทำลายสิ่งนั้นเป็นปัญญาญาณไง นี่ธรรมทำลายตน จะไม่มีตัวตน ตัวตนอันสูงส่งคือตัวตนของสภาวะของภาวสวะ ไม่ใช่ความยึดมั่นถือมั่นที่เรามีปัญหา เราเบียดเบียนกัน เราทำลายกันอยู่ในกระแสโลกหรอก

กระแสโลกมันหยาบมาก หยาบจริงๆ นะ แต่เพราะเราประพฤติปฏิบัติ มันถึงจะละเอียดขึ้นไป พอละเอียดขึ้นไป ละเอียดขึ้นไป จนถึงที่สุด ถึงจะเห็นตัวตนของเรา ถ้าเห็นตัวตนของเรา ตัวนี้ตัวเจ้าวัฏจักร ตัวนี้ตัวทำลาย ตัวนี้ทำลายเรามาตลอด เราย้อนกลับเข้าไปถึงตรงนี้แล้วเราทำลายมัน เราทำลายด้วยสภาวธรรม สภาวธรรมเกิดขึ้นมาจากหัวใจของเรา ถ้าเกิดจากหัวใจของเรา เราจะเป็นลูกศิษย์ตถาคต ศิษย์ตถาคตที่ทรงธรรม ทรงวินัย

ถ้าศิษย์ตถาคตทรงธรรมทรงวินัย ศาสนานี้จะรุ่งเรือง ศาสนารุ่งเรืองเพราะอะไร เพราะศาสนานี้มีผู้รู้จริงเห็นจริง ผู้รู้จริงเห็นจริงถึงจะใช้ธรรมโอสถ สิ่งที่เป็นธรรมโอสถเพราะ รักษากิเลสในหัวใจดวงนั้น ทำลายกิเลสในหัวใจดวงนั้นจนราบคาบ พอมันราบคาบถึงจะรู้วิธีการไง นี่ธรรมที่สภาวธรรมเป็นปัจจุบันธรรม

เวลากิเลสเกิดขึ้นมาจากใจดวงใดก็แล้วแต่ มันเกิดขึ้นมาเป็นปัจจุบัน แล้วถ้าเราไม่มีครูบาอาจารย์ที่ทรงธรรม เราต้องคาดไง คาดว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนไว้ในพระไตรปิฎก ข้อนั้น หน้านั้น จะต้องทำลายอย่างนี้ เราก็ต้องไปรื้อค้นมาเพื่อจะทำลายกิเลส กิเลสมันอยู่สิ่งนั้นแล้ว ถึงทำลายไง กิเลสถึงทำลายการประพฤติปฏิบัติ แต่ถ้าเรามีครูบาอาจารย์เป็นที่พึ่งที่อาศัย เวลาเราติดขัด เราจะหาครูบาอาจารย์ได้ ครูบาอาจารย์จะชี้นำสิ่งนั้น

ถ้าครูบาอาจารย์ชี้นำสิ่งนั้นได้ นี่ศาสนาที่เหมือนกับมีชีวิตไง ศาสนานี้เป็นปัจจุบัน ศาสนาที่เจริญรุ่งเรืองในหัวใจของครูบาอาจารย์องค์นั้น จะเป็นประโยชน์กับตัวท่านเองก่อน มีแต่ความสุขอยู่ในหัวใจดวงนั้น แล้วจะเป็นประโยชน์กับผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ

ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติมีครูบาอาจารย์คอยชี้นำ สิ่งนั้นมีอยู่จริง ศาสนามีอยู่จริง ธรรมะมีอยู่จริง แล้วศาสนา ธรรม-สภาวธรรมจริงๆ ก็มีอยู่ในหัวใจของครูบาอาจารย์ แต่สภาวะทุกข์ของเราในหัวใจของเรา มันก็เป็นความจริง ทุกข์นี้ก็เป็นความจริงอันหนึ่ง แล้วมันก็อยู่ในหัวใจของเรา มันมีอยู่ มันถึงเป็นสิ่งที่เทียบเคียงกันได้ มันถึงเป็นสิ่งเทียบเคียงให้เรามีกำลังใจ

ถ้าเรามีกำลังใจ เราพยายามค้นคว้าของเรา เราทำของเราขึ้นมาได้ ศาสนาจะเจริญรุ่งเรือง โลกนี้มีวิมุตติ มีสมมุติ สิ่งนี้อยู่ด้วยกัน โลกกับธรรมอยู่ด้วยกัน ธรรมคือวิมุตติธรรม โลกคือสมมุติธรรม สมมุติโลกนี้เป็นสมมุติ ถ้าเราอยู่กับธรรมโดยสมมุติ ธรรมสภาวธรรม “สัพเพ ธัมมา อนัตตา” สภาวะนี้เป็นสมมุติทั้งหมด

สมมุติให้เราสร้างขึ้นมา แล้วก้าวเดินตามสมมุติขึ้นไป ถ้าสมมุติถึงที่สุดแล้วมันก็เป็นวิมุตติ เราทิ้งสมมุติทั้งหมด มันเป็นสิ่งที่คู่เคียงกัน แล้วเราจะอยู่ฝ่ายไหน ถ้าเราอยู่ในธรรมที่สมมุติ เราเป็นพระ เราบวชมาเป็นพระ แต่เราอยู่ในความสมมุติ เราอยู่กับกิเลสทั้งหมดเลย แล้วกิเลสมันก็ทำลายหัวใจของเราทั้งหมด มันไม่สงสารเราหรอก มันเหยียบย่ำทำลายหัวใจเราตลอด แล้วมันก็มีความทุกข์ในหัวใจของเราตลอด

ความทุกข์อย่างนี้ทำไมเราไม่แลกกลับมาด้วยความเพียรล่ะ เราพลิกขึ้นมาให้เป็นความเพียร มันก็เป็นความทุกข์อันหนึ่ง แต่มันเป็นการเป็นงานของเราไง เรามีงานเรามีการ งานของผู้ที่ประพฤติปฏิบัติมันได้งานขึ้นมา งานอย่างนั้นเวลามันจุดไฟติดแล้ว มันจะเพลินๆ นะ มันจะหมุนอยู่ในงานอย่างนั้น แล้วมันจะยึดงานอย่างนั้น มันอยากได้ผลไง มันก้าวเดินออกไป จนลืมวันลืมคืน วันคืนไม่เกี่ยว ทำงานของเราจนลืมตาย สภาวะตายอย่างไรก็ไม่สนใจ อดอาหาร อดนอนผ่อนอาหารจนเต็มที่ จนถึงที่สุดแล้ว มันจะไม่ไหวแล้ว ถึงจะต้องรักษาเยียวยากัน

ออกมาบิณฑบาตฉันเพื่อให้สร้างกำลังขึ้นมา เพื่อจะไปประพฤติปฏิบัติต่อ เวลางานเกิดอย่างนั้นมันเป็นงานที่ล้มลุกขึ้นมาจนถึงที่สุด งานอันนั้นจะเป็นงานอันเพลินมาก แต่งานในสมมุติของเรา ในเมื่อเรายังก้าวเดินอย่างนั้นไม่ได้ เราก็ต้องพยายามของเราขึ้นมา จนถึงที่สุดแล้วมันจะเพลินไปในงาน เราจะประพฤติปฏิบัติด้วยความเป็นจริงไง ด้วยความเป็นจริง ด้วยความที่ว่าเป็นมัชฌิมาปฏิปทา

สิ่งที่เป็นมัชฌิมาปฏิปทา เราต้องทำให้เป็นไปก่อน เราจะว่าเราทำแล้วมันจะเป็นอัตตกิลมถานุโยค เรากลัวว่าจะตกไปในอำนาจของกิเลส นั่นล่ะกิเลสมันทำลายอย่างนั้น ทำลายความคิดของเรา จะทำขึ้นมามันจะเป็นอัตตกิลมถานุโยค มันจะเป็นความเพลินไป ถ้าเราทำให้มันอุกฤษฏ์ขึ้นมา ทำให้มันเป็นจริงจังขึ้นมา เวลามันเกิดสภาวะที่หัวใจเราสัมผัสขึ้นมา เราก็รู้เอง

สิ่งนี้เวลาสมาธิมันสงบขึ้นมา ยกขึ้นไปวิปัสสนา มันก็จะรู้ของมันเอง ถ้าสมาธิมันติดในสมาธิ สมาธิมันเกิดขึ้นมาแล้วมันติด มันก็ไม่มัชฌิมา เพราะมันติด มันเป็นไป มันไม่ก้าวเดิน มันไม่เป็นการงานชอบ มันเป็นงานของสมถะ สมถกรรมฐาน-วิปัสสนากรรมฐาน

ถ้าเป็นงานอันชอบ มันก็ยกขึ้นวิปัสสนา ถ้าวิปัสสนาไปโดยกิเลส มันก็มีความเห็นบิดเบือน มันก็ไม่มัชฌิมาอีก มัชฌิมาในการวิปัสสนามันก็ต้องใช้ปัญญาชอบ แยกแยะชอบ ปล่อยวางชอบ สิ่งนี้ปล่อยวางบ่อยครั้งเข้า ปล่อยวางชอบขึ้นมา มันก็เป็นมัชฌิมา มัชฌิมาของสมถะเป็นส่วนหนึ่ง ผลของมันคือความสงบของใจ ถ้าเราทำความเพียรของเราเกิดขึ้นมา มันจะเป็นความสงบของใจ นั้นคือมัชฌิมาของสมถะ

แต่ถ้ามัชฌิมาของวิปัสสนา มันยกขึ้นเป็นงานแล้ว ถ้าไม่เป็นอัตตกิลมถานุโยค มันก็บิดเบือนไป ถึงว่ามันไม่สมควรกับเรา มันก็ไม่ปล่อยวาง แต่ถ้าเราวิปัสสนาบ่อยครั้งเข้า เพราะมันผิดพลาด เราก็วิปัสสนาใหม่ มันก็จะลงมามัชฌิมา ถ้ามัชฌิมามันก็ปล่อยวาง ถ้ามัชฌิมาบ่อยครั้ง ถึงที่สุดแล้วก็ต้องสัมปยุตรวมตัว

สิ่งที่รวมตัวคือมันสามัคคีกัน มรรคสามัคคีรวมตัว รวมตัวขึ้นมา งานมันจะเกิดขึ้นอย่างนี้ ถ้างานเกิดขึ้นอย่างนี้มันจะมีความเพลินขึ้นมา ความเพลินขึ้นมา เราก็ประพฤติปฏิบัติของเรา ก้าวเดินของเราขึ้นไป เราก้าวเดินขึ้นไปมันก็เป็นงาน สัพเพ ธัมมา อนัตตา ทั้งหมด เพราะมันเป็นสมมุติแต่ละขั้นตอน สมมุติที่เจริญแล้วเสื่อม จนเป็นอกุปปะ มันก็ไม่เสื่อม มันก็เป็นสภาวธรรมอันหนึ่ง มันก็เป็นสมมุติขึ้นไปชั้นๆ ขึ้นไป สมมุติอย่างหยาบ สมมุติอย่างละเอียด มันเป็นชั้นๆ ถึงสมมุติอันละเอียดสุด ทำลายสมมุติอันละเอียดสุด

ตัวตนอันละเอียด กิเลสมันทำลายตัวตนสิ่งนั้น มันก็เป็นสมมุติอันละเอียด มันก็ไปเกิดบนพรหมเห็นไหม เวลาเราประพฤติปฏิบัติเข้ามาถึงตรงนั้น เราทำลายสมมุติอันละเอียด มันก็เกิดเป็นวิมุตติ มันก็เป็นสภาวธรรมอันนั้นในหัวใจ สิ่งนั้นจะเป็นสภาวธรรมที่ถึงที่สุดแล้ว เป็นผลงานไง ผลงานของใจที่ประพฤติปฏิบัติ เป็นแรงงานใจ

เวลาบวชพระบวชเจ้า เป็นพระเป็นเณรขึ้นมา เขาบอกว่าเป็นคนที่ว่าไม่สู้โลก เป็นคนที่ไม่จริง ไม่จริงหรอก พระนี่เป็นผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ งานจะสมควรคืองานจากภายใน งานจากภายนอก โลกเขาทำกัน เป็นสภาวะของโลก มันเป็นสภาวะแบบนั้น อำนาจวาสนามี มันก็ประสบความสำเร็จ อำนาจวาสนาไม่มี มันก็ล้มลุกคลุกคลานไป สภาวะแบบนั้น จริงจังขนาดไหน มันก็เวียนตายเวียนเกิด แต่ถ้าจริงจังของเรา เราทำงานของเรา

งานของเราคืองานความเพียร มีทางจงกรม นั่งสมาธิภาวนาของเรา อันนี้เป็นงานของเรา อยู่ในงานตลอดไป ทำงานของเราตลอดไป เราก้าวเดินตลอดไป จะต้องถึงผลงานอันนี้โดยแน่นอน ผลงานเป็นปัจจัตตังในหัวใจ ทุกข์นี้โดยสัจจะทุกดวงใจรู้อยู่ เวลามันสุขขึ้นมา มันไม่ปล่อยวาง นั้นคือความผิดพลาด มันปล่อยวาง ปล่อยวางจนขาด.. ขาดจนถึงที่สุด ถึงจะเป็นการทำลายกิเลสโดยสมบูรณ์ เอวัง